SAT (Scholastic Assessment Test) หรือ New SAT
College Board หน่วยงานที่ไม่แสวงผลกำไรของสหรัฐอเมริกา ได้ทำการจัดการสอบ SAT นี้ขึ้นมาในปี 1926 เนื่องจากประเทศสหรัฐอเมริกามีขนาดใหญ่ ทำให้ยากต่อการประเมิณมาตรฐานการเรียนของแต่ละรัฐ ดังนั้นเพื่อให้นักเรียนมัธยมปลายของอเมริกามีคะแนนที่เป็นมาตรฐานเดียวกันทั้งประเทศ และสามารถใช้คะแนนดังกล่าวในการสมัครเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้
SAT เป็นการสอบวัดทักษะด้าน verbal (ภาษาอังกฤษ) และ mathematics (คณิตศาสตร์) ในสาขาทั่วไป และหากนักเรียนที่ต้องการเข้าคณะวิทยาศาสตร์ และวิศวกรรมศาสตร์ จะต้องสอบวัดความถนัดทางด้านฟิสิกส์ เคมี และชีววิทยาเพิ่มเติมอีกด้วย
โดยปัจจุบันมหาวิทยาลัยต่างๆ นิยมนำคะแนน SAT มาใช้ประกอบการพิจารณาเพื่อรับนักศึกษาเข้าเรียนในระดับอุดมศึกษาหลักสูตรนานาชาติทั้งในประเทศไทย และต่างประเทศ ส่วนในการพิจารณารับนักศึกษาเข้าเรียนนั้น จะขึ้นอยู่กับเกณฑ์ของแต่ละมหาวิทยาลัยและสาขาที่กำหนด โดยแต่ละปีจะมีการสอบในเดือนมีนาคม พฤษภาคม มิถุนายน ตุลาคม พฤศจิกายน และธันวาคม สามารถสมัครสอบ และดูตารางวันสอบผ่านเว็บไซต์ collegeboard
การสอบ SAT ได้มีการพัฒนาข้อสอบ และเปลี่ยนชื่อไปหลายครั้ง ล่าสุดประเทศอเมริกามีการเปลี่ยนข้อสอบ SAT เป็นข้อสอบแบบใหม่ ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2016 เรียกว่า Redesigned SAT หรือ New SAT ซึ่งถูกนำมาใช้ในประเทศไทยตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2016 เป็นต้นมาเช่นกัน
คุณสมบัติของผู้เข้าสอบ
การสอบ SAT จะใช้ข้อสอบชุดเดียวกันและสอบในเวลาเดียวกันทั่วโลก SAT ไม่จำกัดอายุของผู้เข้าสอบ ซึ่งผลคะแนนสอบมีอายุ 2 ปี และสามารถสอบได้ไม่จำกัดจำนวนครั้ง
โครงสร้าง New SAT มีความเปลี่ยนแปลงจาก SAT คือ
- ลดข้อสอบ ปัจจุบันลดข้อสอบเหลือเพียง 2 ส่วนคือ Math ให้เวลาสอบ 80 นาที และ Reading & Writing คือ ข้อสอบใหม่จะรวบ Reading และ Writing เข้าเป็นส่วนเดียวกัน ให้เวลา 100 นาที
- ลดเวลาการสอบ ลดเวลาการสอบจาก3 ชั่วโมง 45 นาที เหลือ 3 ชั่วโมง เนื่องจากข้อสอบใหม่ไม่บังคับทำ Essay เหมือนแบบเก่า ดังนั้นใครไม่ต้องการสอบ Essay ก็จะใช้เวลาน้อยลง (ในปัจจุบันมหาวิทยาลัยในไทยส่วนใหญ่ไม่พิจารณาผลคะแนน Essay แต่มหาวิทยาลัยในต่างประเทศบางแห่งยังต้องการผลคะแนน Essay ด้วย ดังนั้นในการสมัครต้องพิจารณาเกณฑ์ความต้องการของมหาวิทยาลัยด้วย และถ้าสอบ Essay จะได้เพิ่มเวลาอีก 50 นาที)
- ลดคะแนน จากเดิมคะแนนเต็ม 2,400 เหลือ 1,600 คะแนน เนื่องจากการรวมข้อสอบแบบ Reading กับ Writing ทำให้คะแนนลดลง 800 คะแนน โดยจะมาจาก Math 800 คะแนน และ Reading and Writing 800 คะแนน
- กรณีตอบผิดไม่มีการหักคะแนน ซึ่งต่างจากการสอบ SAT แบบเดิมที่หากตอบผิดจะมีการหักคะแนนด้วย
- เนื้อหาการสอบ
Reading หรือ Evidence-Based Reading มีคำถาม 52 ข้อ ให้เวลาทำ 65 นาที ในการสอบจะมี 4 Passage และ 1 Pair Passage
|
Writing หรือ Writing and Language
มีคำถาม 44 ข้อ ให้เวลาทำ 35 นาที ในการสอบจะมี 4 Passage ในเรื่องที่คล้ายกับ Passage Reading |
Mathematics ข้อสอบในส่วนนี้จะแบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ
No Calculator โดยมีคำถาม 20 ข้อ ให้เวลาทำ 35 นาที ข้อสอบในส่วนนี้ห้ามใช้เครื่องคิดเลข Calculator โดยมีคำถาม 38 ข้อ ให้เวลาทำ 55 นาที ข้อสอบส่วนนี้ใช้เครื่องคิดเลขได้ตามปกติ |
ในข้อสอบแบบใหม่นี้ พบว่าการสอบ New SAT ให้ผลคะแนนที่สูงกว่าการสอบ SAT แบบเดิม และปัจจุบันการเรียนหลักสูตรนานาชาติก็มีมากขึ้น ทำให้การสอบ New SAT เป็นอีกหนึ่งมาตรฐานที่นักเรียนนิยมสอบมากขึ้น เพื่อใช้ยื่นสมัครเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศไทยที่มีหลักสูตรนานาชาติ โดยคะแนนสอบ SAT ใช้ยื่นสมัครที่คณะไหนสถาบันไหนในประเทศไทยได้ ก็จะมี
1. หลักสูตรบริหารธุรกิจบัณฑิต (Inter) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
2. หลักสูตรเศรษฐศาสตรบัณฑิต (Inter) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
3. หลักสูตรวิศวกรรมศาสตรบัณฑิต (Inter) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ วิศวกรรมยานยนต์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วิศวกรรมนาโน
4. หลักสูตรวิทยาศาสตรบัณฑิต (Inter) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เทคโนโลยีการจัดการ เทคโนโลยีสารสนเทศ เทคโนโลยีสิ่งแวดล้อม วิทยาการคอมพิวเตอร์
5. หลักสูตรวิศวกรรมศาสตรบัณฑิต (Inter) มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
6. หลักสูตรวิทยาศาสตรและการบริหารธุรกิจบัณฑิต (Inter)มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
7. หลักสูตรนานาชาติกว่า 10 สาขาวิชามหาวิทยาลัยมหิดล
8. หลักสูตรสถาปัตยกรรมศาสตรและศิลปบัณฑิต (Inter) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี หรือ บางมด
9. หลักสูตร Inter ทุกสาขาวิชา ABAC และอื่นๆ อีกหลายหลักสูตร
แหล่งข้อมูล wikipedia