เรียนต่อดูไบ…เมืองแห่งอนาคต

ดูไบ นครที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ มีพื้นที่ประมาณ 4,000 ตารางกิโลเมตร และมีประชากรประมาณ 2 ล้านคน ที่ถือได้ว่าเป็นเมืองท่าที่สำคัญทางประวัติศาสตร์แห่งหนึ่งของโลก มีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูง และเมืองมีการขยายตัวที่สูงมาก ดูไบเป็นศูนย์กลางการค้าทางทะเล รวมทั้งการทำประมง และการทำฟาร์มไข่มุก เป็นเมืองท่าที่สำคัญในการส่งออกที่สำคัญของโลก ดังนั้นจึงมีอัตราความต้องการทางด้านแรงงานในทุกสาขา รวมถึงมีสถานบันศึกษาจากอังกฤษ ออสเตรเลีย และอเมริกามาเปิดสอนอย่างมากมาย ดังนั้นการเรียนภาษาอังกฤษในดูไบ หรือเรียนต่อที่ดูไบในระดับปริญญาจึงเป็นการเปิดโอกาสเรื่องการทำงานของนักเรียนอีกด้วย

ดูไบ...เมืองคุณภาพการศึกษาและแหล่งเริ่มต้นชีวิตการทำงาน

สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

United Arab Emirates เป็นประเทศหนึ่งในตะวันออกกลาง ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของคาบสมุทรอาหรับ ในภูมิภาคเอเชียตะวันตกเฉียงใต้ริมอ่าวเปอร์เซีย ประกอบด้วยรัฐเจ้าผู้ครองนคร (emirates) 7 รัฐ ได้แก่ อาบูดาบี อัจมาน ฟูไจราห์ ดูไบ ราสอัลไคมาห์ ชาร์จาห์ และอุมม์อัลไกไวน์ โดยกลุ่มรัฐทั้ง 7 ได้รวมตัวกันเป็นประเทศ UAE ในปี พ.ศ. 2514 (ค.ศ. 1971) โดยก่อนหน้าจะรวมตัวกันนั้น เป็นที่รู้จักกันในชื่อ รัฐสงบศึก (Trucial States) หรือ ทรูเชียลโอมาน (Trucial Oman)

เริ่มต้นในปี 1833 ชนเผ่า Bani Yas tribe เพียง 800 คน นำโดยตระกูล Maktoum ซึ่งยังปกครองประเทศอยู่ในปัจจุบัน ได้อพยพมาตั้งหลักแหล่งบริเวณปากอ่าว ซึ่งบริเวณดังกล่าวเป็นท่าเรือ ที่อุดมสมบูรณ์จึง ทำให้ดูไบกลายเป็นศูนย์กลางของการค้าทางทะเล รวมทั้งการทำประมงและการทำฟาร์มไข่มุก ภายหลังจากในปีศตวรรษที่ 20 ดูไบก็กลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่งโดยเป็นศูนย์กลางการค้า และการส่งออกที่สำคัญ โดยมีตลาดขนาดใหญ่ที่สุดของตะวันออกกลางที่หนึ่ง ต่อมาปี 1966 ดูไบกลายมาเป็นรัฐมหาอำนาจรัฐหนึ่งในประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ หลังจากที่มีการค้นพบน้ำมันดิบ ทำให้เมืองโบราณอายุสองพันปี กลายเป็นเมืองทันสมัยในพริบตา ด้วยโครงการ The Palm ที่เป็นโครงการพัฒนาพื้นที่ริมฝั่งทะเล ให้กลายเป็นแหล่งความเจริญทั้งที่อยู่อาศัย โรงแรม และรีสอร์ท ต่างๆ ด้วยงบลงทุนประมาณสามพันล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ

ประชาชนส่วนใหญ่นับถือ
ศาสนาอิสลาม 96%
(สุหนี่ 80% ชีอะฮ์ 16%)
ฮินดู คริสต์และอื่น ๆ ร้อยละ 4

ดูไบเป็นที่มีความหลายหลายอย่างแท้จริง มีผู้คนจากหลากหลายเชื้อชาติภาษา และวัฒนธรรม เข้ามาลงทุน จึงเป็นหนึ่งในเมืองที่เศรษฐกิจเติบโตเร็วที่สุดในโลก อีกทั้งรัฐบาลของดูไบมีโครงการมากมายในการพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านโครงสร้างพื้นฐาน การค้า และการท่องเที่ยว ทำให้ดูไบมีการจ้างงานอย่างมากมาย นักเรียนจึงมีโอกาสสูงในการหางาน ทั้งงาน Part time และงาน Full time ในขณะที่เรียนอยู่ และหลังจากเรียนจบแล้วอีกด้วย

ย้อนดู นครดูไบ จากหมู่บ้านชาวประมงสู่มหานครโลก

ค.ศ. 1833
นำโดย Maktoum Bin Butti ของชนเผ่า Bani Yas ประกาศตัวเป็นเอกราชจากอาบูดาบี และเดินทางมาตั้งรกรากใน Shindagha Peninsula บริเวณปากแม่น้ำ โดยปัจจุบันราชวงศ์ Maktoum ยังเป็นผู้ปกครองนครดูไบเฉยเช่นในอดีตกาล

ค.ศ. 1870
ดูไบจึงเจริญรุ่งเรือง ด้วยอุตสาหกรรมทำไข่มุกอันมีชื่อเสียง และกลายเป็นท่าเรือหลักของ Gulf coast

ค.ศ. 1902
พ่อค้าชาวอิหร่านที่ย้ายถิ่นฐานมาที่ดูไบ ก่อตั้งรกรากชาวอาหรับ ทำให้เกิดความรุ่งเรืองทางการค้า ความเจริญเริ่มหลั่งไหลมาจากต่างประเทศ ทำให้ดูไบกลายเป็นตลาดการค้าที่ใหญ่ที่สุดในแหลมอาระเบีย

 

ค.ศ. 1950
เกิดการค้นพบครั้งใหญ่ คือการขุดพบน้ำมันในรัฐทรูเชียล (Trucial State)

ค.ศ. 1960
มีพ่อค้าชาวอินเดีย และปากีสถานในดูไบเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้ตลาดสิ่งทอรุ่งเรืองอย่างมาก เพราะมีการค้าขายที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น จากปริมาณของตลาดการค้าอินเดีย

ค.ศ.1966
นับว่าเป็นช่วงเวลาการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของประวัติศาสตร์ดูไบ เมื่อมีการค้นพบแหล่งน้ำมันดิบ Fateh

ค.ศ.1971
การร่วมมือของ 7 รัฐทรูเชียล (Trucial States) อันได้แก่ อาบูดาบี (Abu Dhabi) ดูไบ (Dubai) ชาร์จาห์ (Sharjah) อัจมาน (Ajman) ราสอัลไคมาห์ (Ras al-Khaimah) ฟูไจราห์ (Fujairah) และอุมม์ อัล ไคเวน (Umm al-Quwain) ร่วมมือกันก่อตั้งสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ขึ้นมาเป็นประเทศ ปกครองโดยประธานาธิบดีซึ่งกำหนดให้เจ้าผู้ครองรัฐอาบูดาบีดำรงตำแหน่ง และให้เจ้าผู้ครองรัฐดูไบเป็นรองประธานาธิบดี และนายกรัฐมนตรี การปกครองมีลักษณะเป็นราชาธิปไตย 

ค.ศ. 1979
ท่าเรือ Jebel Ali เปิดให้บริการ และ Dubai World Trade Centre เปิดทำการ นับตึกสูงแห่งแรกของเมืองดูไบ ซึ่งถือเป็นรากฐานโครงการสถาปัตยกรรม เป็นจุดกำเนิดของโครงการยักษ์ใหญ่อื่นๆ ตามมาอีกมากมาย

ค.ศ. 1985
สายการบินเอมิเรตส์เปิดให้บริการเป็นครั้งแรก เพื่อเป็นเครื่องมือส่งเสริมให้ดูไบเป็นศูนย์กลางการบินโลก (global hub) ประกาศเปิดเขตการค้าเสรี Jebel Ali เพื่อดึงดูดการลงทุนจำนวนมากจากทั่วโลกให้หลั่งไหลเข้ามาดูไบ

ค.ศ.1999
โรงแรมเจ็ดดาวแห่งเดียวในโลก Burj Al‑Arab เปิดบริการ เริ่มต้นยุคใหม่ยุคการท่องเที่ยว

ค.ศ. 2002
Sheikh Mohammed Al Maktoumเปิดเขตในดูไบสองเขต – Internet City และ Media City โดยอนุญาติให้อสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่ทั้ง 2 เขต ให้นักลงทุนจากต่างประเทศสามารถจับจองเป็นเจ้าของได้ อีกทั้งสร้างเขตการค้า Dubai Multi Commodities Centre เป็นเขต Free Zone เพื่อรองรับการซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์ต่าง ๆ โดยเฉพาะทองคำ และเพชรอีกด้วย

ค.ศ. 2003
เริ่มโครงการอันทะเยอทะยาน ที่หนึ่งในนี้คือตึกสูงที่สุดในโลกอย่างตึก Burj Khalifa และเกาะ 300 เกาะที่มนุษย์สร้างขึ้นอย่าง World Islands

ค.ศ. 2009
อาคารผู้โดยสาร 3 ของสายการบินเอมิเรตส์ และรถไฟใต้ดินดูไบเปิดบริการเพื่อรองรับความต้องการด้านการจราจรทั้งทางอากาศ และทางบกที่เพิ่มมากขึ้น 

ค.ศ. 2010
ตึก Burj Khalifa กลายเป็นสิ่งปลูกสร้างจากมนุษย์ที่สูงที่สุดในโลก ด้วยความสูงกว่า 823 เมตร มีโรงแรมหรูระดับ 7 ดาว ออฟฟิศสำนักงาน และ Apartment ระดับมหาเศรษฐีใช้เป็นที่อาศัยอยู่อีกด้วย นับว่าเป็น landmark ที่ดึงดูดคนจากทั่วโลก

ค.ศ. 2013
ดูไบ และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เฉลิมฉลองการอย่างยิ่งใหญ่ ประกาศเป็นประเทศแถวหน้าของโลก ด้วยความสำเร็จในการยื่นขอเป็นเจ้าภาพ World Expo 2020

ค.ศ. 2016
Sheikh Mohammed Al Maktoum  ทำพิธีเปิด Dubai Water Canal ซึ่งไหลมาจาก Dubai Creek ผ่านกลางเมืองไปยังอ่าวอาหรับ

ค.ศ. 2018
เปิดตัว The Dubai Frame สิ่งปลูกสร้างสูง 150 เมตรที่ Zabeel Park ซึ่งจะให้มุมมองแบบพาโนรามาของทั้งเขตเมืองเก่าของดูไบ และตึกสูงระฟ้าของดูไบใหม่ เป็นจุดดึงดูดนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นมาให้หลั่งไหลเข้ามาเมืองท่องเที่ยวของโลก

Top Destinations

dubai-map

Burj Khalifa – บุรจญ์เคาะลีฟะฮ์ (หอคอยเคาะลีฟะฮ์) หรือเดิมชื่อ บุรจญ์ดูไบ เป็นตึกสูงระฟ้า ที่เข้ามาแทนที่เสา KVLY-TV ที่ตั้งอยู่ในอเมริกา ที่สูง 628.8 เมตร กลายมาเป็นสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดในโลกแล้ว โดยก่อสร้างแล้วเสร็จเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม ปี 2006 นับว่าเป็นตึกที่สูงที่สุดในโลก ในปัจจุบัน เป็นส่วนหนึ่งของโครงการพัฒนาขนาดยักษ์มีที่ตั้งอยู่ ณ จุดตัดของถนนชิค ซาเยด และถนนโดฮา ปัจจุบัน มีจำนวนชั้น 162 ชั้น โดยมีความสูงกว่า 828 เมตร บุรจญ์เคาะลีฟะฮ์ ออกแบบโดยสถาปนิก เอเดรียน สมิธ สถาปนิกจากชิคาโก โดยมีนักท่องเที่ยวเข้าไปเยี่ยมชมมากมายตลอดทั้งปี

สภาพอากาศโดยเฉลี่ยของ UAE

สภาพภูมิอากาศเป็นแบบทะเลทราย
ฤดูร้อน (พฤษภาคม–กันยายน)
อุณหภูมิอยู่ระหว่าง 32-48 องศาเซลเซียส

ฤดูหนาว (พฤศจิกายน-มีนาคม)
อุณหภูมิอยู่ระหว่าง 15-30 องศาเซลเซียส

การเรียนภาษาอังกฤษที่ดูไบ จะเป็นอีกทางเลือกที่ดีสำหรับ นักเรียนที่มองหาโอกาสทางการเรียน พร้อมกับการทำงานได้ เพราะดูไบคนส่วนใหญ่จะให้ภาษาอังกฤษในการสื่อสาร และงานด้านการท่องเที่ยวก็มีอยู่เป็นจำนวนมากอีกด้วย

dubai-map

ดูไบครีก จะเป็นที่รู้จักกันในนามของ Old Dubai  หรือเขตเมืองเก่า เขตนี้ประกอบด้วยตลาดมากมาย หรือ “Souk” ที่แปลว่า “ตลาด” ปัจจุบันย่านนี้ได้รับการบูรณะเพื่อแสดงสถาปัตยกรรมดั้งเดิม โดยตลาดมีสินค้าหลากหลาย ตั้งแต่ของเล่นไปจนถึงเครื่องเทศ และน้ำหอม เป็นการผสมผสานกันอย่างลงตัวของตลาดอาหรับสมัยใหม่ และตลาดในสมัยโบราณ

ในอดีตตลาดแห่งนี้เกิดขึ้นเนื่องจากอยู่ใกล้กับท่าเรือ พ่อค้าจะได้รับสินค้าเช่นเครื่องเทศ และเสื้อผ้าจากเรือสินค้าที่เดินทางมาจากต่างประเทศ จึงเป็นเหมือนท่าเทียบเรือสินค้า และตลาดในคราเดียวกัน

แม่น้ำแห่งนี้มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ โดยแบ่งพื้นที่ออกเป็น Bur Dubai และ Deira เป็นการเชื่อมต่อดูไบกับโลกภายนอก เป็นเวลาหลายศตวรรษ นับว่ากระดูกสันหลังของเมืองมายาวนานก่อนที่ดูไบจะมีชื่อเสียงระดับนานาชาติ

ในตลาดนี้ เป็นศูนย์รวม เครื่องเทศ ผลไม้แห้ง ถั่ว และชาท้องถิ่นที่ Spice Souk และในบริเวณใกล้เคียง นั่งคือตลาดทองและเครื่องประดับ Gold Souk ที่สามารถสั่งทำเครื่องทอง ที่สวยงามเป็นพิเศษอีกด้วย

dubai-map

Museum of the Future แลนด์มาร์คที่โดดเด้งที่สุดกลางเมืองดูไบหนีไม่พ้น MOTF (Museum of the Future) หรือพิพิธภัณฑ์แห่งอนาคต เนื่องจากที่ตั้งบนถนน Shiek Zayed ติดกับถนนซุปเปอร์ไฮเวย์เส้นทางหลักของเมือง 

MOTF เป็นหนึ่งในพิพิธภัณฑ์ที่สวยที่สุด 14 แห่งของโลก ผลงานการออกแบบของสถาปนิค Shaun Killa ตัวอาคารรูปทรงทอรัส หรือทรงห่วงยางที่ทำจากโลหะและแก้วส่งประกายแวววาวท้าแสงแดด ลวดลายประดับบนอาคารเป็นตัวอักษรอาหรับ ซึ่งทำหน้าที่เป็นหน้าต่างไปด้วยในตัว เป็นผลงานของศิลปินท้องถิ่นชื่อ Mattar bin Lahej ซึ่งได้แรงบันดาลใจจากบทกลอนของท่านผู้นำ HH Sheik Mohammed bin Rashid Al Maktoum ที่ว่า “อนาคตเป็นของผู้ที่จินตนาการถึงมัน ออกแบบมันขึ้นมา และนำมันมาใช้ได้ อนาคตไม่ใช่สิ่งที่เราเฝ้ารอ แต่เป็นสิ่งที่เราสร้างมันขึ้นมาเอง” (The future belongs to those who can imagine it, design it and execute it. It isn’t something you await, but rather create.)
 
พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ก่อตั้งขึ้นโดยมูลนิธิอนาคตดูไบ (The Dubai Future Foundation) เปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 22 ก.พ. 2022 ได้รับการขนานนามว่าเป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีชีวิต เพราะเป็นบอกเล่าเรื่องราวของโลกอนาคตในอีก 50 ปีข้างหน้า โลกที่ปัญญาประดิษฐ์ถูกนำมาใช้ เพื่อพัฒนาชีวิตมนุษย์และเศรษฐกิจโลกให้เข้มแข็งและดีงามขึ้น
 
ผู้เข้าชมจะรู้สึกมีส่วนร่วมกับการจัดแสดงภายใน ที่มีการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้รวมกับเทคนิคการเล่าเรื่องแบบภาพยนต์ ดึงดูดและเร้าความรู้สึกตื่นเต้นไปกับจินตนาการถึงโลกอนาคตในประเด็นหลากหลาย เช่น การเดินทางและใช้ชีวิตในอวกาศ ภาวะโลกร้อน ระบบนิเวศวิทยา สุขภาพ หรือแม้กระทั่งจิตวิญญาณ
 
นอกจากนี้ยังมีการจัดเวิร์คช็อป และการสนทนาพูดคุยของนักคิดระดับโลก รวมถึงพื้นที่ให้เด็กเล็กได้สัมผัสกับฮีโร่แห่งโลกอนาคต และทำกิจกรรมสนุกๆ เพื่อค้นหาศักยภาพของตัวเองด้วย
dubai-map

ปาล์มจูไมราห์ หรือ “หมู่เกาะต้นปาล์ม” เป็นเกาะเทียมที่มนุษย์สร้างขึ้นที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในโลก เริ่มก่อสร้างในปี 2001  แล้วเสร็จในระยะเวลาเพียง 7 ปี นับเป็นส่วนผสมของสุดยอดสถาปัตยกรรม สุดยอดจินตนาการ และสุดยอดวิสัยทัศน์ของผู้นำดูไบ

ลักษณะตัวเกาะ (เมื่อมองจากที่สูง) มีรูปร่างเป็นต้นปาล์ม มีใบปาล์มแยกออกมา 7 แฉก และมีเขื่อนรูปทรงพระจันทร์เสี้ยว ล้อมรอบตัวเกาะไว้อีกชั้นนึง เกาะทั้งเกาะถูกสร้างขึ้นมาจากหินและทรายเท่านั้น โดยหินที่ใช้นำมาจากเหมืองหิน 16 แห่งในดูไบ และทรายจากก้นทะเลลึกห่างอยู่ห่างจากฝั่งออกไป 6 ไมล์ ไม่มีปูนหรือเหล็กเจือปนเลย เพื่อสร้างความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รวมทั้งสัตว์ทะเลให้มากที่สุด
 
ภายในตัวเกาะเป็นที่พักอาศัย ห้างสรรพสินค้า สวนสนุก สวนน้ำ ศูนย์สกีในร่ม ร้านอาหาร และโรงแรมหรูหลายต่อหลายแห่ง สิ่งก่อสร้างที่มีชื่อเสียงมากที่สุดบนเกาะแห่งนี้คือ โรงแรมแอตแลนติส เดอะปาล์ม 
 
ด้วยรูปทรงที่แปลกตา ทำให้ปาล์มจูไมราห์กลาเยป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่โด่งดังที่สุดแห่งหนึ่งของดูไบ ซึ่งสามารถมองเห็นจากสถานีอวกาศนานาชาติได้อย่างชัดเจน
dubai-map
ดูไบมอลล์ เป็นเมกะโปรเจ็คของบริษัท Emaar Properties บริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่สุดของดูไบ 
 
ด้วยพื้นที่ 12 ล้านตารางฟุต หรือเท่ากับสนามฟุตบอล 200 สนามรวมกัน ที่นี่มีพื้นที่สำหรับร้านค้าเช่า 3.77 ล้านตารางฟุต มีร้านค้าแบรนด์เนมกว่า 1,200 ร้าน ห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ 2 แห่ง ร้านอาหารอีกกว่า 200 ร้านค้า และยังเป็นที่ตั้งของโรงแรมห้าดาวอีกต่างหาก 
 
นอกเหนือจากสินค้าหรูจากยุโรปและอเมริกา อย่าง Galeries Lafayette และ Bloomingdale’s ที่นี่ยังมีพื้นที่ The Souk จำหน่ายเครื่องประดับ เสื้อผ้า และงานฝีมือสไตล์อาหรับดั้งเดิม รวมถึงการจัดแสดงโครงกระดูกไดโนเสาร์ยุคปลายจูราสสิคที่เรียกว่า Dubai Dino อายุ 155 ล้านปี ขนาดความยาว 24.4 เมตร x ความสูง 7.6 เมตร
 
ไฮไลท์ไข่แดงของดูไบมอลล์คือ Dubai Aquarium & Underwater Zoo ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ภายในบรรจุน้ำ 10 ล้านลิตร สัตว์น้ำกว่าพันชนิด และอุโมงค์น้ำ 270 องศา
 
นอกจากนี้ยังมีลานสเก็ตน้ำแข็ง ที่สามารถจุผู้ชมได้ 350 ที่นั่ง และโรงภาพยนต์ขนาด 150,000 ตารางฟุต มีจอภาพยนตร์ 22 จอ จุผู้ชมได้ถึง 2,800 คน
 
บริเวณด้านนอกของดูไบมออล์คือ Burj Khalifa ตึกที่สูงที่สุดในโลก และ Dubai Fountain ซึ่งมีการจัดแสดงน้ำพุเล่นไฟในยามกลางคืน นอกจากนี้ดูไบมอลล์ยังเป็นสถานีหลักของขนส่งสาธารณะทุกรูปแบบ จึงนับเป็นศูนย์กลางของเมืองดูไบก็ว่าได้
dubai-map
Dubai Marina ดูไบมาริน่า เป็นเมืองที่มีคลองเทียม สร้างขึ้นมาตามแนวชายฝั่งอ่าวเปอร์เซียที่ทอดยาว 3 กิโลเมตร (2 ไมล์) ได้รับแรงบันดาลใจจากการพัฒนา Concord Pacific Place ที่False Creekในเมืองแวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดา 
 
ตั้งห่างจากเมืองประมาณ 20 กิโลเมตร เป็นย่านที่พักริมน้ำสุดหรูที่สวยงาม ประกอบไปด้วยอสังหาริมทรัพย์สูงระฟ้า วิลล่าแสนสวย สวนสาธารณะ ห้างสรรพสินค้า และพื้นที่สำหรับเดินเล่นพักผ่อน 
 
ที่นี่เป็นจุดท่องเที่ยวยอดนิยมของนักท่องเที่ยวที่มาเยือนดูไบ เพราะมีเส้นทาง Dubai Marina Walk ให้เดินเล่นชมเมืองหลังแดดร่มลมตก เลือกรับประทานอาหารเย็นจากร้านค้าเก๋ๆ มากมายตลอดเส้นทาง และยังเป็นท่าจอดเรือยอร์ช ตลอดจนมีกิจกรรมท้าทายให้เลือกทำอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเจ็ตสกี หรือกระโดดร่ม

FAQ

เราสามารถทำงานได้อย่างถูกกฎหมายระหว่างที่เรียนทั้งคอร์สภาษาและหลักสูตรปริญญา

โดยทั่วไปแล้วการเรียนระดับป.ตรีที่ดุไบ โดยมากจะเป็นมหาวิทยาลัยต่างชาติ จากอังกฤษ และออสเตรเลียมาเปิดสาขาที่นี่ โดยมากจะใช้เวลา 3 ปี ขึ้นอยู่กับหลักสูตรปริญญาตรี 

ใช้เวลาดำเนินการทำวีซ่าประมาณ 4 สัปดาห์

น้องๆเลือกโรงเรียนภาษากับโรงเรียนภาษา ES Dubai ได้ เพราะที่ ES สอนภาษาโดยครู Native Speaker จากอังกฤษ ออสเตรเลีย รวมถึงอเมริกาด้วย

พนักงานทั่วไป 18-20 AED / ชั่วโมง

สถานที่ห้ามพลาดในดูไบนั้นมีเยอะแยะมากมาย เช่น Buji Khalifa, Dubai Creek, Palm Jumeirah และอื่นๆ มากมาย

อิมเอ็ดดูเคชั่น

เป็นศูนย์แนะแนวการเรียนต่อต่างประเทศระดับมาตรฐานสากลได้รับการรับรองหน่วยงานทั้งในประเทศไทย และต่างประเทศมากมาย อีกทั้งยังเป็นสมาชิก Tieca  รวมถึงผ่านการอบรมโดยสถานทูตต่างๆ มากมาย